
ลดน้ำหนัก ด้วยการ งดแป้ง งดไขมัน และ งดมื้อเย็น ทำไมยังอ้วน?
เป็นวิธียอดฮิตของใครหลายๆคนที่ต้องการ ลดน้ำหนัก อย่างเร่งด่วน ก็เลือกวิธีงดสิ่งที่จะทำให้อ้วนมันไปซะเลย ทั้งงดรับประทานแป้ง ไขมัน และมื้อเย็น แต่เชื่อหรือไม่ว่าวิธี “งด” หรือ “อด” อย่างจริงจังขนาดนี้ น้ำหนักไม่ได้ลดลงอย่างที่ใจหวังสักนิด แถมน้ำหนักยังเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนที่ตั้งใจจะลดความอ้วนเสียอีก หรือที่เค้าเรียกกันว่า “โยโย่เอฟเฟกต์” นั่นเอง เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าทำไมการ “งด” หรือ “อด” น้ำหนักเราถึงเพิ่มขึ้น ไม่ลดลงสักที
ลดน้ำหนักด้วยการงดแป้ง
การลดน้ำหนักด้วยการงดแป้งโดยเด็ดขาด ถึงขั้นตัดอาหารที่เป็นแป้งออกจากการรับประทานในทุกมื้อ เช่น ทานแค่ผักล้วนและ ผลไม้ลดความอ้วน ทานแบบนี้วนไปเรื่อยๆในแต่ละวันสักพัก จะทำให้ร่างกายรู้สึกว่ากำลังขาดสารอาหาร และบังคับให้ร่างกายเราอยากของหวานๆมากยิ่งขึ้นแบบหน้ามืดตามัว เช่น ขนมหวานๆ น้ำหวานๆ จนเราเผลอทานของหวานเยอะเกินกว่าที่ร่างกายเราต้องการ ทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมดและมีพลังงานเหลือไปสะสมไว้ที่พุง ก้น และต้นขาของเรา ทำให้น้ำหนักเราเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะลดลง
เหตุที่ร่างกายเลือกโหยหาน้ำตาลด่วนๆ ในช่วงที่ร่างกายคิดว่ากำลังจะขาดแคลนแป้งนั้น เพราะน้ำตาลสามารถให้พลังงานกับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง แต่เพราะการดูดซึมได้เร็ว หากทานของหวานเยอะเกินไปจะทำให้ร่างกายนำพลังงานที่ได้ไปใช้ไม่ทัน พลังงานที่เหลือจะถูกนำไปสะสมอยู่ในชั้นไขมัน แต่สักพักเราก็จะหิวโหยใหม่ เพราะพลังงานที่เหลือนั้นนำไปสะสมอยู่ในชั้นไขมันหนาๆของเราแบบนี้วนไปเรื่อยๆ แล้วแบบนี้การงดแป้งแบบเด็ดขาด จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ยังกัน
วิธีการ ลดน้ำหนัก ที่ถูกต้อง
คือ ไม่ควรงดแป้งแบบเด็ดขาด แต่ควรหันมาลดปริมาณการรับประทานอาหารจำพวกแป้งขัดสี แป้งขาวๆที่ผ่านการแปรรูป เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาลทรายขาว ขนมหวาน น้ำหวาน ผลไม้รสหวานจัด และหันมาเลือกรับประทานแป้งที่ไม่ขัดสีแทน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ น้ำตาลที่ไม่ขัดสี น้ำผึ้ง ขนมปังโฮลวีท น้ำผึ้ง เป็นต้น
ลดน้ำหนัก ด้วยการงดไขมัน
ไขมัน เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่ถูกคาดโทษว่าเป็นต้นเหตุของไขมันส่วนเกินในร่างกาย แถมยังเป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆอีกด้วย
แต่ไขมันก็มีประโยชน์ในตัวของมัน เพราะไขมันเป็นอาหารสำคัญที่มีความจำเป็นต่อร่างกายและเป็น 1 ในอาหาร 5 หมู่ ที่มีประโยชน์ เช่น ให้พลังงานแก่ร่างกายที่สูงที่สุดคือ 9 แคลอรี่ต่อ 1 กรัมของไขมัน ช่วยทำให้ร่างกายมีพลังงานที่จะทำงานและประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และช่วยการดูดซึมวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
วิธีการลดน้ำหนัก ที่ถูกต้อง
คือ ไม่ควรงดไขมันแบบเด็ดขาด แต่ควรหันมาลดปริมาณการรับประทานไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย นั่นคือไขมันทรานส์นั่นเอง ไขมันทรานส์ ได้แก่ เนย เนยเทียม เนยถั่ว มาการีน น้ำมันหมูที่ใช้ทอดอาหารซ้ำๆ และไขมันที่มาจากสัตว์ (ไขมันจากสัตว์กลายเป็นไขมันทรานส์ได้หากผ่านการทอดนานๆ) ควรหันมารับประทานไขมันที่ควรทานและดีต่อ สุขภาพ ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน (ใช้ในกรณีผัดอาหารเร็วๆ ในปริมาณไม่มาก) รวมไปถึงไขมันที่ได้จากน้ำมันปลา เป็นต้น
ลดน้ำหนักด้วยการงดอาหารเย็น
การงด หรือ อด อาหารมื้อใดมื้อหนึ่งไปก็ไม่ควรแล้ว เพราะร่างกายต้องการพลังงานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเรางดมื้อเย็นด้วยความเข้าใจผิดๆว่าช่วงเย็นเป็นช่วงที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด จึงงดอาหารมื้อนี้มันไปซะเลยเพื่อลดน้ำหนัก แล้วหล่ะก็ บอกเลยว่าพลาดอย่างแรง เพราะการไม่ทานอะไรหลัง 6 โมงเย็นเป็นต้นไป เท่ากับว่าท้องเราจะว่างแบบไม่มีอะไรเลยนาน 12-14 ชั่วโมง จนถึงเช้า รู้สึกนานใช่ไหมหล่ะถ้าลองเปลี่ยนเวลามาเป็นช่วงกลางวัน รับรองว่าคุณต้องหิวจนหน้ามืดตาลายไม่มีแรงทำงานแน่นอน
ดังนั้นการงดอาหารเย็น ก็เหมือนการงดแป้งนั่นเอง ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่เราจะต้องมางดหรือมาอดอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเรา จนทำให้ร่างกายคิดว่าเราเข้าสู่ภาวะขาดสารอาหาร เมื่อถึงช่วงเวลารับประทานอาหารปกติ ร่างกายเราจะรู้สึกหิวโหยมากกว่าปกติ เพราะร่างกายเราต้องการพลังงานเข้ามาสะสมในร่างกายมากขึ้น ทำให้เราอาจจะเผลอรับประทานอาหารมื้ออื่นๆมากเกินความจำเป็น ส่วนใครที่ยังพอมีสติควบคุมการรับประทานอาหารมื้ออื่นๆได้น้ำหนักก็จะลดลงเรื่อยๆ แต่อย่าเพิ่งดีใจไป พอถึงช่วงหนึ่งที่เราพอใจกับน้ำหนักที่ลดลงมาแล้ว เราหันกลับมารับประทานอาหารปกติ เหมือนเดิม น้ำหนักเราก็จะพุ่งสูงขึ้นเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่เรางดอาหารไป
วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง
คือ อย่าให้ร่างกายรู้สึกขาดสารอาหารจนหิวโหย ให้ร่างกายรู้สึกอิ่มอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ควรงดหรืออดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ควรหันมาทานหลายๆมื้อแทน แต่ต้องเป็นเพียงมื้อเล็กๆเท่านั้นนะคะ ประมาณ 4-6 มื้อ ต่อ วัน วิธีนี้จะช่วยให้ความอยากอาหารลดลงได้โดยเฉพาะของหวาน